ต่อจิกซอว์เศรษฐกิจไทย-เทศ ชี้หุ้นเด็ด All Star ปี 2023
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนาของวารสารการเงนิธนาคาร “Thailand Next Move 2023 : The Nation Recharge” หัวข้อ “คู่หู-คู่หุ้น The Reunion คัดหุ้นเด่น All Star ประจำปี 2023” ว่า ในปี 2023 ต้องจับตาเศรษฐกิจโลกว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันตัวเลขชี้วัดต่างๆ เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยรายงานจาก Goldman Sachs ประเมินว่าในปีหน้าจะมีอัตราการเกิดภาวะ Recession เพียงแค่ 35% เห็นได้จากทิศทางเงินเฟ้อทั่วโลกที่เริ่มปรับตัวลดลง รวมไปถึงแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ก็มีท่าทีว่าจะสิ้นสุดที่ 5%
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงยอดการบริโภคในกลุ่มค้าปลีกและอสังหาฯ ในอเมริกาค่อนข้างดี ยอดขายบ้านที่เคยลดลงก็เพิ่มขึ้น ยอดขายบ้านใหม่ที่เคยติดลบก็กลับมาบวกอีกครั้ง โดยมีรายงานจาก GDPNow Fed Atlanta ระบุว่าในไตรมาศ 4 อเมริกามีเศรษฐกิจที่โตขึ้นกว่า 4%
ส่งให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2023 มีทิศทางที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากสินทรัพย์ที่แข็งแรงอย่างสกุลเงินดอลลาร์อาจไม่ได้แข็งค่าเช่นเดิม ซึ่งสามารถวัดได้จากดัชนีดอลลาร์ที่ปัจจุบันวิ่งอยู่ในกรอบ 105-107 จากจุดสูงสุดที่เคยขึ้นไปถึง 115 ดังนั้น ภาพที่อาจจะได้เห็นในปี 2023 นี้คือ Fund Flow มีโอกาสเคลื่อนทัพจากฝั่งอเมริกาที่เคยถือดอลลาร์ มาสู่ฝั่งของตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีน
“ปัจจุบันจีนเริ่มมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะผ่านไป และก่อนหน้านี้ราคาอสังหาฯในจีนได้ลดลงจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว ปัจจุบันราคาอสังหาฯในจีนเริ่มฟื้นตัว คนจีนกลับมาซื้อและลงทุนในอสังหาฯมากขึ้น แม้จะไม่ได้ขายดีถล่มทลาย แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี รวมถึงการปล่อยกู้สินเชื่ออสังหาฯก็มีการฟื้นตัวกลับขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการคาดการณ์จากหลายสำนักใหญ่ว่าในช่วง มี.ค.-พ.ค. ปีหน้าจีนน่าจะกลับมาเปิดเมืองได้ตามปกติ”
นายเผดิมภพอธิบายต่อว่า สำหรับประเทศไทยอาจได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าของดอลลาร์ในครั้งนี้ โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ประกาศ GDP ของไทยในไตรมาส 3 ปี 2022 เพิ่มขึ้น 4.5% จากเดิมในไตรมาส 2 ที่โตเพียงแค่ 2.5% เป็นผลมาจากภาคการบริโภคกับการลงทุนเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF), ธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีการประเมินว่าในปี 2022 นี้ GDP ไทยอาจโตประมาณ 3% และในปี 2023 อาจโตได้ถึง 4%
ภาพรวมการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การจ้างงานเริ่มดีขึ้น รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ดังนั้น ในภาคการบริโภคน่าจะดีขึ้นตามลำดับด้วยเช่นกัน และหากพิจารณาองค์ประกอบของ GDP ภาคการบริโภคโตมากที่สุดถึงประมาณ 9% นำด้านอื่นๆ และการลงทุนในไทยจากภาคเอกชนก็เริ่มดีขึ้นตามด้วย
แต่สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้สำหรับไทยคือภาคการผลิตและการท่องเที่ยว ที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาช่วงใด ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ขณะที่หุ้นไทยในช่วงต้นปีหน้าอาจจะได้เห็นวิ่งอยู่ในกรอบ 1,600 จุด แต่หากอเมริกาเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นจริง ตลาดไทยอาจไปได้ถึง 1,800 จุด ในปลายปี 2023
นายเผดิมภพกล่าวต่อว่า ในส่วนของแนวทางการลงทุนปี 2023 หากมองการลงทุนในระยะสั้น-กลาง ให้มองหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีนเป็นหลัก คือกลุ่ม Material ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาฯในจีนโดยตรง เช่น วัสดุก่อสร้าง โลหะอุตสาหกรรม ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ราคาในตลาดโลกน่าจะขยับขึ้นอีกครั้ง เนื่องเกิดความต้องการในวัสดุก่อสร้างจากจีนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในมุมของกลยุทธ์ถ้าต้องการทำกำไรในระยะสั้น หุ้นกลุ่ม Material กลายเป็นกลุ่มที่น่าสนใจมากกว่าท่องเที่ยวที่ราคาสูงอยู่แล้ว
หุ้นอีกกลุ่มที่น่าสนใจคือโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเพราะราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเริ่มปรับลดลงมาทำให้ Margin ของหุ้นในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น หรือจะเลือกลงทุนในกอง REIT Property Fund ซึ่งจะอิงจากการเกิด Recession ในอนาคตก็ได้
“หุ้นเด่นในช่วงนี้ ถ้าต้องการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรระยะสั้นแนะนำหุ้น TSTH เนื่องจากที่กล่าวไปว่ากลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโลหะอุตสาหกรรมน่าจะขยับขึ้นเยอะ และหุ้น TSTH มีราคาที่ถือว่าถูกในปัจจุบัน ดังนั้น ถ้าจะเสี่ยงกับช่วงที่จีนกำลังจะเปิดเมืองก็ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจ”
แต่หากมองที่หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่น่าสนใจในปัจจุบันคือ BANPU เพราะหากจีนเปิดประเทศความต้องการถ่านหินก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วยตามลำดับ ประกอบกับในช่วงต้นปีหน้าอาจเห็นบริษัทลูกของ BANPU อย่าง BKV เข้าตลาดที่อเมริกา ทำให้ในด้านมูลค่าของของ BANPU ก็อาจมีการปรับขึ้นด้วย
นายเผดิมภพกล่าวต่อไปว่า ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก แนะนำหุ้น GPSC และ BGRIM เพราะในเชิงของต้นทุนและผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงทำให้หุ้นทั้ง 2 ตัวนี้ดูโดดเด่น ส่วนการลงทุนใน RIET แนะนำ BTSGIF เพราะปัจจุบันผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ มีการเดินทางมากขึ้น อีกทั้ง BTSGIF ยังให้เงินปันผลประมาณ 10% ซึ่งถือว่าน่าสนใจ
สุดท้ายภาคการบริโภคและการลงทุน แนะนำไปที่ MAKRO ที่ซึ่งเป็นหุ้นใหญ่แต่มี Free Float ค่อนข้างน้อย ซึ่งในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ก็มีการเพิ่ม Free Float ขึ้นไปเป็น 15% ทำให้ MAKRO มีโอกาสได้รับความสนใจจาก MSCI มากขึ้น หรือในอนาคตก็มีโอกาสไปถึง SET50 ได้ อีกหุ้นที่แนะนำคือ COM7 เพราะราคาของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะลงมาพอสมควรแล้ว ดังนั้นในด้านค้าปลีก COM7 จึงเป็นอีกตัวที่น่าสนใจ
ในด้านการลงทุนก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้มองไปที่นิคมอุตสาหกรรมที่หุ้นยังราคาไม่ขึ้นมากอย่าง AMATA เพราะสามารถโตได้เรื่อยๆ จากการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ซึ่งสังเกตว่าจะแนะนำเฉพาะหุ้น Laggard เพราะเน้นถือสั้นแต่ถ้าเน้นถือยาวอาจจะไม่ชอบในกลุ่มนี้เท่าใดนัก